16.11.51

หลากชีวิต หลายเรื่องราว บนเขาใหญ่

14.30 น. พ่อมาถึงออฟฟิศเเล้ว
ผมกระโดดขึ้นรถด้วยความดีใจ
เขาใหญ่จ๋า ไม่ได้ไปเยือนนานเเล้ว
เดินทางประมาณ 2 ช.ม. นิดๆ ก็ถึงปากทางขึ้นทางด้านจังหวัดปราจีนบุรี

"เตรียมกล้องเลย เวลานี้ลิงออกเเล้วล่ะ"
พ่อพูดขึ้นมา

อ๋อ.. ใช่ ลิงที่เขาใหญ่เป็นลิงเสียนิสัย
เเต่นิสัย หรือ "สัญชาตญาณในการหาอาหาร" ที่เสียไปนั้น
ต้นเหตุก็เกิดมาจากคนอย่างพวกเราเนี่ยแหละ
การจอดรถ เอาขนม โยนนู่นโยนนี่ให้เค้ากิน ทำให้ลิงพวกนี้เคยตัว

พอถึงเวลา ก็ออกมานั่งรออาหาร
ขึ้นชื่อว่าลิง เมื่อต้องมาใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน
ก็ต้องมีบ้างที่จะวิ่งเล่นซนตามประสา
ทำให้ถูกรถของนักท่องเที่ยวชนเอา ตายบ้าง เจ็บบ้าง

นับเป็นปัญหาที่เเก้ไม่ตกอีกเรื่องนึงของเขาใหญ่เลยก็ว่าได้

ลิงพวกนี้ นั่งรออาหารอยู่เป็นระยะๆ ตลอดทางขึ้น
ไม่ต่างจากร้านขายไก่ย่างริมถนนที่มีเป็นสิบๆ เจ้าติดกัน

ประมาณ 5 โมงก็ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
พ่อจอดรถรอ ลุงโนช ที่นี่

นายมาโนช การพนักงาน หรือ ลุงโนช ที่ผมรู้จัก
ได้มาประจำตำแหน่ง หน. อช. เขาใหญ่คนใหม่ แบบสดๆ ร้อนๆ
หลังจากได้มีเรื่องวิ่งเต้นย้าย หัวหน้าคนเก่าออกไปโดยไร้สาเหตุ
ว่ากันว่าหลักๆ ก็ไม่พ้นเรื่องการเมืองอีกแหละ
ผมกำลังเดินดู-เดินอ่านข้อมูลต่างๆ ของตัวอุทยานอยู่เพลินๆ
ก็มีเสียงพ่อตะโกนเรียกมาเเต่ไกล
"บลู!!"
ผมว่าลุงโนชมาเเล้วเเหง
พอเดินออกไปก็เห็นเเกยืนอยู่ข้างๆ พ่อเเล้ว
ยังไม่ทันจะยกมือไหว้ พ่อก็พูดเเทรกขึ้นมา

"ช้างออก ไปดูเร็ว"

จบประโยค ผมวิ่งทันที!
ขณะที่จ้ำอ้าวไป ก็ไม่ลืมที่จะประคองเจ้ากล้องสุดเลิฟอย่างระมัดระวัง

ช้างป่า...
ช้างป่า ตัวเป็นๆ อยู่ริมถนน ห่างจากโรงอาหารไปไม่ไกล
ผมทั้งย่องทั้งหมอบเข้าไปในระยะที่คิดว่า ไม่อันตรายจนเกินไป
แปลเป็นไทยว่า ถ้ามันวิ่งชาร์จเข้ามา ผมก็พอที่จะโกยทันนั่นแหละ
ตามองผ่านช่องมองภาพของกล้อง มือกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ

สลับกับโผล่หน้าขึ้นมาดูโลกจริงๆ บ้าง
เพราะภาพในกล้องกับของจริง ระยะมันต่างกัน
ถ้ามัวเเต่ก้มหน้าก้มตาถ่ายอย่างเดียว รู้ตัวอีกทีอาจสายไปเเล้วที่จะหนี

สงเเสงไม่ต้องพูดถึงครับ ไม่ได้วัดเลย
เสียหรือดีว่ากันอีกที จังหวะนี้ต้องให้ได้ภาพไว้ก่อน
การที่เเสงเริ่มหมด เนื่องจากเป็นเวลาใกล้ค่ำมากเเล้ว
ทำให้สุดท้าย ภาพออกมาติดอันเดอร์แบบยกเซต
ส่วนเเฟลชนั้น ให้ลืมไปเลยครับในสถานการณ์ประจันหน้ากับสัตว์อย่างช้างป่าเนี่ย
ไม่ควรใช้อย่างยิ่ง

คนเรา เวลานั่งกินข้าวอยู่ ถ้ามีคนเยอะๆมารุมดู ก็ย่อมอึดอัดเป็นธรรมดา
เจ้าช้างป่าหนุ่มตัวนี้ก็เหมือนกัน เมื่อนักท่องเที่ยวเริ่มเดินมาดูมากขึ้น
มันก็หันขวับ กลับตัว ผละจากกอไม้ข้างทาง
เปลี่ยนมาเป็นการเดินดุ่มๆ กลางถนน
จี้เข้าหาบรรดานักท่องเที่ยงที่พากันมามุงดูมัน

จากจุดที่ผมยืน ห่างไปไม่กี่ 10 เมตร
ช้างป่ารมณ์บ่จอยค่อยๆ ย่างเท้าก้าวเข้ามาหาอย่างช้าๆ
โดยไม่มีทีท่าว่าจะกลัวเกรงกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้ามัน

นอกจากเป็นการได้ปะหน้ากันจะๆ ครั้งเเรกเเล้ว
ยังเป็นการเข้าใกล้ช้างป่าที่สุดในชีวิตผมอีกด้วย

สาบานว่า ตาคู่นั้น มันจ้องเขม็งมาที่ผม
ขนลุกครับ...

หันไปมองรอบข้าง ก็ไม่มีใครที่ยืนอยู่ในระนาบเดียวกับผมเเล้ว
คนอื่นถอยกันเเบบยาวๆ เเต่ผมยัง

ถ้ามันวิ่ง...
ผมวิ่ง...
ในหัวคิดอยู่แบบนี้ตลอด ขาก็เดินถอยรักษาระยะห่างไว้
บรรยายอาการของตัวเองตอนนั้นไม่ถูกเหมือนกัน
รู้เเต่คำพูดที่ว่า "เวลาหยุดนิ่ง" นั้น มันมีจริงๆ แฮะ

จะว่า กล้าก็กล้า กลัวก็กลัว รูปก็อยากได้
อ้ายเลนส์ตัวจ้อยเราก็ซูมได้เเค่เนี้ย ทำไงได้

เเต่เเล้ว... จู่ๆ เจ้าช้างป่าอารมณ์บูด ก็หันหลังกลับให้พวกเราทันที
หลังจากเดินจี้เข้ามาหา จนถึงบริเวณกลางสะพาน
ประหนึ่งกับได้ประกาศให้เห็นเเล้วว่า "ที่นี่ใครใหญ่"

เมื่อทุกคนรู้เเล้วว่าใครคือพี่เบิ้มตัวจริง ไม่นานมันก็หายวับเข้าป่าไป
นักท่องเที่ยวพากันทยอยเดินกลับ

บ้างก็ยังยืนคุยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป
ตัวผมเอง ค่อยๆเดินกลับออกมาจากที่เกิดเหตุอย่างช้าๆ
เเต่หัวใจผมน่ะ รัวไม่เป็นจังหวะเลยล่ะ
เเล้วก็พลางคิดไปว่า ที่ทำไปตะกี้มันดีเเล้วรึ?
ถ้าเกิดมันฟิวส์ขาด วิ่งเข้าใส่จริงๆ ผมไม่มีทางหนีพ้นเลยในระยะขนาดนั้น

การประจันหน้า เเละได้เก็บภาพระยะประชิด
กับเจ้าช้างป่าหนุ่มเชือกนี้...
เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ระทึกที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย


เเจ๊คพ่อตเเรกของผม ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว


กำลังกินเพลินๆ ถูกขัดจังหวะก็ย้อมอารมณ์บูดเป็นธรรมดา


ว่าเเล้วก็เดินจี้เข้าหากลุ่มนักท่องเที่ยวที่มามุงดู


เมื่อเเสดงให้เห็นเเล้วว่า "ที่นี่ใครใหญ่"
จึงหันหลังกลับ เดินหายลับเข้าป่าไป


ลิงกัง มีชุกชมบนเขาใหญ่
มักจับกลุ่มกัน นั่งรออาหารจากนักท่องเที่ยวที่ข้างถนน
ผลที่ตามมาคือ ถูกรถเฉี่ยวชน เจ็บบ้าง ตายบ้าง
นับเป็นอีกปัญหาที่เเก้ไม่ตกก็ว่าได้


เสือโคร่งตัวนี้ เคยทำร้ายเจ้าหน้าที่บาดเจ็บสาหัส 2 ราย
ภายหลังจึงถูกปลิดชีพลง เเละนำมาสตั๊ฟไว้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
(สังเกตรอยกระสุนรูกลมใหญ่ที่บริเวณหัว)


ที่พักครับ มีชื่อว่า "บ้านหลังไม้" สร้างด้วยไม้ทั้งหลังสมชื่อ
ตกเเต่งเเบบเรียบง่าย เเต่ดูดี
น่านอนมั้ยล่ะคร้าบ


บริเวณระเบียง เเละจุดชมวิวของบ้าน


โถงด้านใน


เม่นตัวนี้ ถูกนักท่องเที่ยวขับรถชนตาย แต่ไม่มีใครยอมรับ ว่าเป็นคนทำ
ต่อให้จับตัวคนผิดมาได้ โทษสูงสุดคือ ปรับ 500 บาท


มีประโยคนึงจาก คุณอานิวัฒน์ ผู้ช่วยฯ ของลุงโนช ที่ได้ใจผมไปเต็มๆ
"ชีวิตเม่นตัวนี้ มีค่าเเค่ 500 บาท เท่านั้นเองหรอครับ?"


เก้งหม้อ
ออกมาลงโป่ง บริเวณหน้าบ้านพัก ในตอนเช้า


ขอบคุณ ลุงโนช ที่เอื้อเฟื้อผมกับคุณพ่อในทุกๆ เรื่อง


น้ำตกเหวสุวัต
สัญลักษณ์ที่อยู่คู่เขาใหญ่มาอย่างยาวนาน


เนื่องจากสามารถเดินทางเข้าไปเที่ยวชมได้ง่าย
จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย
รวมทั้งสาวคนนี้ด้วย...


รู้หรือไม่ ?
หนังเรื่อง เดอะบีช เคยมาถ่ายทำที่นี่ด้วย
ฉากนึงในหนัง พระเอก (นำเเสดงโดย ลีโอนาร์โด้ ดิคาร์ปริโอ้)
กระโดดลงมาจากยอดของน้ำตก


การตั้งกฏที่ว่า ห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำ
นอกจากได้เรื่องความสะอาดแน่ๆ เเล้ว
ยังมีประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการอยากจะบึนทึกภาพ(เฉพาะน้ำตก)ด้วย


อ่างเก็บน้ำมอสิงโต


ทิวทัศน์ยามเช้าบริเวณหน้าที่พัก


ธรรมชาติที่ใกล้ตัว และน่าสัมผัสเเบบนี้ล่ะ สเน่ห์ของเขาใหญ่

10.11.51

SIGMA 10-20MM 4-5.6 DC HSM

ในที่สุดก็กัดฟันคบหากับเจ้าซิกม่า 10-20
ทั้งๆ ที่ราคาขึ้นมาเเบบไม่น่าคบเอาซะเลย

ทริปเขาใหญ่กับพ่อศุกร์นี้
เป็นเเรงกระตุ้นให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นก็ว่าได้
หลังจากเคยลั่นวาจากับตัวเองมานานเเล้ว
ว่าจะต้องสอยเลนส์ตัวนี้มาครอบครองให้จงได้

เอาล่ะ ทีนี้จะอุ่นเครื่องอาม่าที่ไหนดีล่ะ?
กว่าจะเลิกงานกลับบ้าน ฟ้าก็มืดตื๋อเเล้ว
เลยกดมันในบ้านซะ
ถ่ายรอบๆ ห้องโถงชั้นล่าง เเล้วก็ห้องครัวนิดนึง
โหมด
M ISO 200 ที่ 13 mm F/ 5.6
เเล้วก็ฝากไว้เป็นที่ระลึกในบล๊อคตัวเองเนี่ยแหละ :D







26.10.51



A Cloudy Day


6.30 น. ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเปิดม่านดู
โอ้วเอาอีกเเล้ว อากาศช่วงนี้มันอึมครึมจัง
ทีเเรกวันนี้ผมว่าจะออกไปเดทเเรกกับเจ้า D80 ซักที่
เเต่คิดไปคิดมา เกิดฝนเทลงมา กล้องได้เน่าเเน่ๆ ครับ

เเต่ด้วยความเห่อ + ความบ้าในที่สุดผมก็ตัดสินใจก้าวออกจากบ้าน โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น!
เดินออกมา...รวมระยะทางได้ 5เมตร ด้วยกัน!!

มันคือลานกีฬา และสนามเด็กเล่นในหมู่บ้านผมนั่นเองครับ ^^"
มีเด็กวิ่งเล่นอยู่ 2-3 คน + นักบาสอีกกลุ่ม
นั่งลองๆ เทสๆ กดๆ มั่วๆ ไปได้ซักพัก เเดดก็ยิ่งหายไปเรื่อยๆ เมฆก็ดำเอ๊าดำเอา

ไหนๆก็ไหนๆเเล้ว ถ่ายออกมายังไงก็หม่น หม่น เเละหม่น
เลยเเก้ปัญหาโดยการจับภาพทั้งเซตมา process เพิ่มคิดว่าอย่างน้อยมันก็คงน่าสนใจขึ้นอีกนี๊ดสสส
พยายามให้มันออกมาเข้ากับบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนช่วงนี้ (คิดไปเองว่ามันเข้า - -a)

ภาพเปิดนี่เล็งน้องเค้าอยู่ดีๆ เกือบโดนยิงกลับตายอนาถครับ
เด็กอาร๊าย เลียนเเบบได้น่ารักจริงๆ
เเต่สังเกตนิ้วน้องเค้านะครับ ว่ายังไม่ทันได้กดชัตเตอร์
เลยเสร็จผมก่อน 55

ป.ล. ครอปเอาไปทำเป็นดิสเพ msn ซะเลย ดูเเล้วนึกถึงตัวเองดี


แม่ไปไหนว้า







พี่เบโทเฟ่น

เฮ้ออ ก็คนมัน...

ท่าทางน้องเค้าจะยังไม่ตื่น





urban landscape

ซุ่มดูไรน่ะๆ

อ่อ สาวนั่นเอง
มีเเววเป็นซุปเปอร์โมเดลเด็ก








26.9.51

The Recycle Power! Project

...อีก 10 นาทีจะได้เวลาเริ่มการเเข่งขัน
ฟีโน่ ฟีเว่อร์ โมเดล ชาเล้นจ์ ที่จัดขึ้น ณ ลานเอเทรี่ยม สยามเซนเตอร์
เพื่อนร่วมทีมอีก 2 คนของผมยังมาไม่ถึงเลย
ขณะที่ทีมอื่นๆ เตรียมพร้อมที่จะสตาร์ทกันหมดเเล้ว




ซักพักปาล์มก็ตามมา เเต่ก็ยังเริ่มอะไรไม่ได้มาก
เพราะว่าอุปกรณ์ส่วนใหญ่อยู่ที่โจ๊ก
นั่งวางเเผนเตรียมงานรอมันกันไปได้ซัก 40 นาที จึงได้ฤกษ์ลุย!



concept คือ การคิดค้นพลังงานที่สะอาด และใส่ใจในสิ่งแวดล้อม
โดยใช้ความรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านเเบบไทยๆ นำขยะที่ใช้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นขยะที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือวัสดุจากธรรมชาติ
นำมาแปรรูปเป็นพลังงานทดแทน และใช้ได้จริงกับฟีโน่



โปรเจคนี้ ผมได้เเรงบันดาลใจมาจากการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล
เเต่... รู้สึกว่า
ไม่อยากทำอะไรที่มันมีอยู่เเล้ว อยากทำอะไรที่เว่อร์ๆ มันส์ๆกว่านี้
เลยคิดสร้างเครื่องจักรที่ยังไม่มีที่ไหนในโลกทำได้
(เอากับมันสิ)
เเต่ยังไงก็ยังอยากให้หน้าตามันออกมา
ไม่ทิ้งไปจากเครื่องผลิตน้ำมันไบโอดีเซลของจริงมากนัก



ตัวเครื่องจักร
เลือกใช้วัสดุเหลือใช้จากการทำโมเดล
และเศษเล็กเศษน้อยในกล่องเครื่องมือช่าง
หรืออะไรก็ได้ที่ดูคล้ายส่วนประกอบของเครื่องจักร
มีทั้งพลาสติก ไม้ อะลูมิเนียม เหล็ก และอะคริลิก
สีพื้นผิวของเครื่องใช้สีน้ำเงินอมเทาเลียนเเบบเครื่องจักรจริงๆ
ทำสีสนิมเพื่อให้ดูเก่า และสมจริงขึ้นไปอีก



มีพิมพ์เขียวที่ใช้ออกเเบบ และนิตยสาร ค.คน
นิตยสารที่นำเสนอเกี่ยวกับสกู๊ปชีวิต เเรงบันดาลใจ ภูมิปัญญาแบบไทยๆ
ขยะพลาสติก และโลหะได้จากชุดเเต่งบ้านจิ๋ว
ส่วนกระดูกสัตว์ ใช้กระดูกข้อนิ้วตีนไก่
เเกลลอนบรรจุน้ำมันที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง พร้อมติดโลโก้ Recycle Power!
วางเป็นพร้อบประกอบฉาก



หลอดพลาสติก และสลิ้ง ใช้บรรจุน้ำมัน ทำจากน้ำยาบ้วนปาก
ส่งผ่านสายออกซิเจนตู้ปลา ต่อตรงลงถังน้ำมันของรถ

ด้านหลังของฉาก
มีกล่องเครื่องมือช่าง ไขควง เศษน๊อต สปริง ฯลฯ
วางอยู่บนหนังสือพิมพ์ขนาด 1 : 12 ที่เลอะคราบน้ำมัน



และสุดท้าย ภาพรวมของฉากทั้งหมดครับ
ขอบคุณเพื่อนร่วมทีมฝีมือไม่ธรรมาดาอย่างโจ๊ก และปาล์ม มา ณ ที่นี้ด้วย