14.30 น. พ่อมาถึงออฟฟิศเเล้ว
ผมกระโดดขึ้นรถด้วยความดีใจ
เขาใหญ่จ๋า ไม่ได้ไปเยือนนานเเล้ว
เดินทางประมาณ 2 ช.ม. นิดๆ ก็ถึงปากทางขึ้นทางด้านจังหวัดปราจีนบุรี
"เตรียมกล้องเลย เวลานี้ลิงออกเเล้วล่ะ"
ผมกระโดดขึ้นรถด้วยความดีใจ
เขาใหญ่จ๋า ไม่ได้ไปเยือนนานเเล้ว
เดินทางประมาณ 2 ช.ม. นิดๆ ก็ถึงปากทางขึ้นทางด้านจังหวัดปราจีนบุรี
"เตรียมกล้องเลย เวลานี้ลิงออกเเล้วล่ะ"
พ่อพูดขึ้นมา
อ๋อ.. ใช่ ลิงที่เขาใหญ่เป็นลิงเสียนิสัย
เเต่นิสัย หรือ "สัญชาตญาณในการหาอาหาร" ที่เสียไปนั้น
ต้นเหตุก็เกิดมาจากคนอย่างพวกเราเนี่ยแหละ
การจอดรถ เอาขนม โยนนู่นโยนนี่ให้เค้ากิน ทำให้ลิงพวกนี้เคยตัว
พอถึงเวลา ก็ออกมานั่งรออาหาร
ขึ้นชื่อว่าลิง เมื่อต้องมาใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน
ก็ต้องมีบ้างที่จะวิ่งเล่นซนตามประสา
ทำให้ถูกรถของนักท่องเที่ยวชนเอา ตายบ้าง เจ็บบ้าง
นับเป็นปัญหาที่เเก้ไม่ตกอีกเรื่องนึงของเขาใหญ่เลยก็ว่าได้
ลิงพวกนี้ นั่งรออาหารอยู่เป็นระยะๆ ตลอดทางขึ้น
ไม่ต่างจากร้านขายไก่ย่างริมถนนที่มีเป็นสิบๆ เจ้าติดกัน
ประมาณ 5 โมงก็ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
พ่อจอดรถรอ ลุงโนช ที่นี่
นายมาโนช การพนักงาน หรือ ลุงโนช ที่ผมรู้จัก
ได้มาประจำตำแหน่ง หน. อช. เขาใหญ่คนใหม่ แบบสดๆ ร้อนๆ
หลังจากได้มีเรื่องวิ่งเต้นย้าย หัวหน้าคนเก่าออกไปโดยไร้สาเหตุ
ว่ากันว่าหลักๆ ก็ไม่พ้นเรื่องการเมืองอีกแหละ
อ๋อ.. ใช่ ลิงที่เขาใหญ่เป็นลิงเสียนิสัย
เเต่นิสัย หรือ "สัญชาตญาณในการหาอาหาร" ที่เสียไปนั้น
ต้นเหตุก็เกิดมาจากคนอย่างพวกเราเนี่ยแหละ
การจอดรถ เอาขนม โยนนู่นโยนนี่ให้เค้ากิน ทำให้ลิงพวกนี้เคยตัว
พอถึงเวลา ก็ออกมานั่งรออาหาร
ขึ้นชื่อว่าลิง เมื่อต้องมาใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน
ก็ต้องมีบ้างที่จะวิ่งเล่นซนตามประสา
ทำให้ถูกรถของนักท่องเที่ยวชนเอา ตายบ้าง เจ็บบ้าง
นับเป็นปัญหาที่เเก้ไม่ตกอีกเรื่องนึงของเขาใหญ่เลยก็ว่าได้
ลิงพวกนี้ นั่งรออาหารอยู่เป็นระยะๆ ตลอดทางขึ้น
ไม่ต่างจากร้านขายไก่ย่างริมถนนที่มีเป็นสิบๆ เจ้าติดกัน
ประมาณ 5 โมงก็ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
พ่อจอดรถรอ ลุงโนช ที่นี่
นายมาโนช การพนักงาน หรือ ลุงโนช ที่ผมรู้จัก
ได้มาประจำตำแหน่ง หน. อช. เขาใหญ่คนใหม่ แบบสดๆ ร้อนๆ
หลังจากได้มีเรื่องวิ่งเต้นย้าย หัวหน้าคนเก่าออกไปโดยไร้สาเหตุ
ว่ากันว่าหลักๆ ก็ไม่พ้นเรื่องการเมืองอีกแหละ
ผมกำลังเดินดู-เดินอ่านข้อมูลต่างๆ ของตัวอุทยานอยู่เพลินๆ
ก็มีเสียงพ่อตะโกนเรียกมาเเต่ไกล
"บลู!!"
ผมว่าลุงโนชมาเเล้วเเหง
พอเดินออกไปก็เห็นเเกยืนอยู่ข้างๆ พ่อเเล้ว
ยังไม่ทันจะยกมือไหว้ พ่อก็พูดเเทรกขึ้นมา
"ช้างออก ไปดูเร็ว"
จบประโยค ผมวิ่งทันที!
ขณะที่จ้ำอ้าวไป ก็ไม่ลืมที่จะประคองเจ้ากล้องสุดเลิฟอย่างระมัดระวัง
ช้างป่า...
ช้างป่า ตัวเป็นๆ อยู่ริมถนน ห่างจากโรงอาหารไปไม่ไกล
ผมทั้งย่องทั้งหมอบเข้าไปในระยะที่คิดว่า ไม่อันตรายจนเกินไป
แปลเป็นไทยว่า ถ้ามันวิ่งชาร์จเข้ามา ผมก็พอที่จะโกยทันนั่นแหละ
ตามองผ่านช่องมองภาพของกล้อง มือกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ
สลับกับโผล่หน้าขึ้นมาดูโลกจริงๆ บ้าง
เพราะภาพในกล้องกับของจริง ระยะมันต่างกัน
ถ้ามัวเเต่ก้มหน้าก้มตาถ่ายอย่างเดียว รู้ตัวอีกทีอาจสายไปเเล้วที่จะหนี
สงเเสงไม่ต้องพูดถึงครับ ไม่ได้วัดเลย
เสียหรือดีว่ากันอีกที จังหวะนี้ต้องให้ได้ภาพไว้ก่อน
การที่เเสงเริ่มหมด เนื่องจากเป็นเวลาใกล้ค่ำมากเเล้ว
ทำให้สุดท้าย ภาพออกมาติดอันเดอร์แบบยกเซต
ส่วนเเฟลชนั้น ให้ลืมไปเลยครับในสถานการณ์ประจันหน้ากับสัตว์อย่างช้างป่าเนี่ย
ไม่ควรใช้อย่างยิ่ง
คนเรา เวลานั่งกินข้าวอยู่ ถ้ามีคนเยอะๆมารุมดู ก็ย่อมอึดอัดเป็นธรรมดา
เจ้าช้างป่าหนุ่มตัวนี้ก็เหมือนกัน เมื่อนักท่องเที่ยวเริ่มเดินมาดูมากขึ้น
มันก็หันขวับ กลับตัว ผละจากกอไม้ข้างทาง
เปลี่ยนมาเป็นการเดินดุ่มๆ กลางถนน
จี้เข้าหาบรรดานักท่องเที่ยงที่พากันมามุงดูมัน
จากจุดที่ผมยืน ห่างไปไม่กี่ 10 เมตร
ช้างป่ารมณ์บ่จอยค่อยๆ ย่างเท้าก้าวเข้ามาหาอย่างช้าๆ
โดยไม่มีทีท่าว่าจะกลัวเกรงกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้ามัน
นอกจากเป็นการได้ปะหน้ากันจะๆ ครั้งเเรกเเล้ว
ยังเป็นการเข้าใกล้ช้างป่าที่สุดในชีวิตผมอีกด้วย
สาบานว่า ตาคู่นั้น มันจ้องเขม็งมาที่ผม
ขนลุกครับ...
หันไปมองรอบข้าง ก็ไม่มีใครที่ยืนอยู่ในระนาบเดียวกับผมเเล้ว
คนอื่นถอยกันเเบบยาวๆ เเต่ผมยัง
ถ้ามันวิ่ง...
ผมวิ่ง...
ในหัวคิดอยู่แบบนี้ตลอด ขาก็เดินถอยรักษาระยะห่างไว้
บรรยายอาการของตัวเองตอนนั้นไม่ถูกเหมือนกัน
รู้เเต่คำพูดที่ว่า "เวลาหยุดนิ่ง" นั้น มันมีจริงๆ แฮะ
จะว่า กล้าก็กล้า กลัวก็กลัว รูปก็อยากได้
อ้ายเลนส์ตัวจ้อยเราก็ซูมได้เเค่เนี้ย ทำไงได้
เเต่เเล้ว... จู่ๆ เจ้าช้างป่าอารมณ์บูด ก็หันหลังกลับให้พวกเราทันที
หลังจากเดินจี้เข้ามาหา จนถึงบริเวณกลางสะพาน
ประหนึ่งกับได้ประกาศให้เห็นเเล้วว่า "ที่นี่ใครใหญ่"
เมื่อทุกคนรู้เเล้วว่าใครคือพี่เบิ้มตัวจริง ไม่นานมันก็หายวับเข้าป่าไป
นักท่องเที่ยวพากันทยอยเดินกลับ
บ้างก็ยังยืนคุยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป
ตัวผมเอง ค่อยๆเดินกลับออกมาจากที่เกิดเหตุอย่างช้าๆ
เเต่หัวใจผมน่ะ รัวไม่เป็นจังหวะเลยล่ะ
เเล้วก็พลางคิดไปว่า ที่ทำไปตะกี้มันดีเเล้วรึ?
ถ้าเกิดมันฟิวส์ขาด วิ่งเข้าใส่จริงๆ ผมไม่มีทางหนีพ้นเลยในระยะขนาดนั้น
การประจันหน้า เเละได้เก็บภาพระยะประชิด
ก็มีเสียงพ่อตะโกนเรียกมาเเต่ไกล
"บลู!!"
ผมว่าลุงโนชมาเเล้วเเหง
พอเดินออกไปก็เห็นเเกยืนอยู่ข้างๆ พ่อเเล้ว
ยังไม่ทันจะยกมือไหว้ พ่อก็พูดเเทรกขึ้นมา
"ช้างออก ไปดูเร็ว"
จบประโยค ผมวิ่งทันที!
ขณะที่จ้ำอ้าวไป ก็ไม่ลืมที่จะประคองเจ้ากล้องสุดเลิฟอย่างระมัดระวัง
ช้างป่า...
ช้างป่า ตัวเป็นๆ อยู่ริมถนน ห่างจากโรงอาหารไปไม่ไกล
ผมทั้งย่องทั้งหมอบเข้าไปในระยะที่คิดว่า ไม่อันตรายจนเกินไป
แปลเป็นไทยว่า ถ้ามันวิ่งชาร์จเข้ามา ผมก็พอที่จะโกยทันนั่นแหละ
ตามองผ่านช่องมองภาพของกล้อง มือกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ
สลับกับโผล่หน้าขึ้นมาดูโลกจริงๆ บ้าง
เพราะภาพในกล้องกับของจริง ระยะมันต่างกัน
ถ้ามัวเเต่ก้มหน้าก้มตาถ่ายอย่างเดียว รู้ตัวอีกทีอาจสายไปเเล้วที่จะหนี
สงเเสงไม่ต้องพูดถึงครับ ไม่ได้วัดเลย
เสียหรือดีว่ากันอีกที จังหวะนี้ต้องให้ได้ภาพไว้ก่อน
การที่เเสงเริ่มหมด เนื่องจากเป็นเวลาใกล้ค่ำมากเเล้ว
ทำให้สุดท้าย ภาพออกมาติดอันเดอร์แบบยกเซต
ส่วนเเฟลชนั้น ให้ลืมไปเลยครับในสถานการณ์ประจันหน้ากับสัตว์อย่างช้างป่าเนี่ย
ไม่ควรใช้อย่างยิ่ง
คนเรา เวลานั่งกินข้าวอยู่ ถ้ามีคนเยอะๆมารุมดู ก็ย่อมอึดอัดเป็นธรรมดา
เจ้าช้างป่าหนุ่มตัวนี้ก็เหมือนกัน เมื่อนักท่องเที่ยวเริ่มเดินมาดูมากขึ้น
มันก็หันขวับ กลับตัว ผละจากกอไม้ข้างทาง
เปลี่ยนมาเป็นการเดินดุ่มๆ กลางถนน
จี้เข้าหาบรรดานักท่องเที่ยงที่พากันมามุงดูมัน
จากจุดที่ผมยืน ห่างไปไม่กี่ 10 เมตร
ช้างป่ารมณ์บ่จอยค่อยๆ ย่างเท้าก้าวเข้ามาหาอย่างช้าๆ
โดยไม่มีทีท่าว่าจะกลัวเกรงกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้ามัน
นอกจากเป็นการได้ปะหน้ากันจะๆ ครั้งเเรกเเล้ว
ยังเป็นการเข้าใกล้ช้างป่าที่สุดในชีวิตผมอีกด้วย
สาบานว่า ตาคู่นั้น มันจ้องเขม็งมาที่ผม
ขนลุกครับ...
หันไปมองรอบข้าง ก็ไม่มีใครที่ยืนอยู่ในระนาบเดียวกับผมเเล้ว
คนอื่นถอยกันเเบบยาวๆ เเต่ผมยัง
ถ้ามันวิ่ง...
ผมวิ่ง...
ในหัวคิดอยู่แบบนี้ตลอด ขาก็เดินถอยรักษาระยะห่างไว้
บรรยายอาการของตัวเองตอนนั้นไม่ถูกเหมือนกัน
รู้เเต่คำพูดที่ว่า "เวลาหยุดนิ่ง" นั้น มันมีจริงๆ แฮะ
จะว่า กล้าก็กล้า กลัวก็กลัว รูปก็อยากได้
อ้ายเลนส์ตัวจ้อยเราก็ซูมได้เเค่เนี้ย ทำไงได้
เเต่เเล้ว... จู่ๆ เจ้าช้างป่าอารมณ์บูด ก็หันหลังกลับให้พวกเราทันที
หลังจากเดินจี้เข้ามาหา จนถึงบริเวณกลางสะพาน
ประหนึ่งกับได้ประกาศให้เห็นเเล้วว่า "ที่นี่ใครใหญ่"
เมื่อทุกคนรู้เเล้วว่าใครคือพี่เบิ้มตัวจริง ไม่นานมันก็หายวับเข้าป่าไป
นักท่องเที่ยวพากันทยอยเดินกลับ
บ้างก็ยังยืนคุยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป
ตัวผมเอง ค่อยๆเดินกลับออกมาจากที่เกิดเหตุอย่างช้าๆ
เเต่หัวใจผมน่ะ รัวไม่เป็นจังหวะเลยล่ะ
เเล้วก็พลางคิดไปว่า ที่ทำไปตะกี้มันดีเเล้วรึ?
ถ้าเกิดมันฟิวส์ขาด วิ่งเข้าใส่จริงๆ ผมไม่มีทางหนีพ้นเลยในระยะขนาดนั้น
การประจันหน้า เเละได้เก็บภาพระยะประชิด
กับเจ้าช้างป่าหนุ่มเชือกนี้...
เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ระทึกที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย
เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ระทึกที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย

จึงหันหลังกลับ เดินหายลับเข้าป่าไป
ที่พักครับ มีชื่อว่า "บ้านหลังไม้" สร้างด้วยไม้ทั้งหลังสมชื่อ
บริเวณระเบียง เเละจุดชมวิวของบ้าน
โถงด้านใน
มักจับกลุ่มกัน นั่งรออาหารจากนักท่องเที่ยวที่ข้างถนน
ผลที่ตามมาคือ ถูกรถเฉี่ยวชน เจ็บบ้าง ตายบ้าง
นับเป็นอีกปัญหาที่เเก้ไม่ตกก็ว่าได้
ภายหลังจึงถูกปลิดชีพลง เเละนำมาสตั๊ฟไว้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
(สังเกตรอยกระสุนรูกลมใหญ่ที่บริเวณหัว)

ตกเเต่งเเบบเรียบง่าย เเต่ดูดี
น่านอนมั้ยล่ะคร้าบ


ต่อให้จับตัวคนผิดมาได้ โทษสูงสุดคือ ปรับ 500 บาท
มีประโยคนึงจาก คุณอานิวัฒน์ ผู้ช่วยฯ ของลุงโนช ที่ได้ใจผมไปเต็มๆ
"ชีวิตเม่นตัวนี้ มีค่าเเค่ 500 บาท เท่านั้นเองหรอครับ?"
ออกมาลงโป่ง บริเวณหน้าบ้านพัก ในตอนเช้า
จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย
รวมทั้งสาวคนนี้ด้วย...
รู้หรือไม่ ?
หนังเรื่อง เดอะบีช เคยมาถ่ายทำที่นี่ด้วย
ฉากนึงในหนัง พระเอก (นำเเสดงโดย ลีโอนาร์โด้ ดิคาร์ปริโอ้)
กระโดดลงมาจากยอดของน้ำตก
นอกจากได้เรื่องความสะอาดแน่ๆ เเล้ว
ยังมีประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการอยากจะบึนทึกภาพ(เฉพาะน้ำตก)ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น